การบริหารโครงการเพื่อเตรียมเข้าสู่สังคมการอยู่อาศัยยุค 5.0
เมื่อโลกของเราเดินหน้าเข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีที่นับวันยิ่งมีความล้ำสมัยมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีได้สร้างสังคมแห่งความสะดวกสบายทำให้เราได้รับการตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็วทันใจ การเข้าถึงข้อมูลและบริการของผู้บริโภคทำได้เพียงผ่านปลายนิ้ว หรือการสั่งงานด้วยเสียง
ภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นในการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านนี้อย่างน่าสนใจ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายรายตอบรับการเป็นสังคมยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยมาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบ้านหรือคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ หลายรูปแบบ
ในขณะเดียวกันบางประเทศอย่างญี่ปุ่น ได้พัฒนาแนวคิดที่จะเดินหน้าพัฒนาสังคมเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ทั่วโลกจะได้เห็นภาพอนาคตของสังคมยุค 5.0 แบบของญี่ปุ่น
สังคมแบบ Super Smart
ยุค 5.0 เป็นยุคที่เรียกว่าเป็นสังคมแบบ Super Smart เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์มากยิ่งขึ้นและช่วยในการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ ได้อย่างอัจฉริยะและตอบสนองการใช้ชีวิตได้อย่างรอบด้านมากขึ้น เป็นยุคที่รวมเอาโลกไซเบอร์และโลกแห่งความจริงเข้าด้วยกัน โดยมีเทคโนโลยีและ AI เป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อน
ซึ่งแม้ไทยจะยังคงอยู่ในยุคสังคม 4.0 แต่ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็มีการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีที่นำมาใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ
ในปัจจุบันโครงสร้างทางด้านประชากรเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ได้มีการเชื่อมโยงเข้าสู่การสร้างสังคมแห่งสุขภาพ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนสู่การสร้างสังคมที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืน จึงนับเป็นสัญญาณที่ดีที่ในอนาคตข้างหน้าเราอาจจะเข้าสู่สังคมที่อยู่อาศัยยุค 5.0 ก็เป็นไปได้ครับ
การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์
ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำมาใช้พัฒนาโครงการ เช่น
บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ที่เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมสั่งการการทำงานในบ้านและอำนวยความสะดวกในที่อยู่อาศัย ที่ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมากคือกระจกอัจฉริยะ หรือ Smart Mirror ที่มีฟังก์ชั่นหลากหลาย สามารถเชื่อต่อกับโทรศัพท์เพื่อฟังเพลงและดูวีดีโอ หน้าปัดยังบอกเวลาและอุณหภูมิ รวมถึงพูดคุยโทรศัพท์ผ่านการเชื่อม Bluetooth ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีระบบการสั่งงานด้วยเสียงหรือ Smart Speaker ที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมกับอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) อื่น ๆ ภายในบ้าน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ สามารถรองรับคำสั่งการเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า และยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการตอบคำถามต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระแสข่าวได้อีกด้วย
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการอยู่อาศัยไม่ได้มีการพัฒนาเฉพาะอุปกรณ์อัจฉริยะที่ใช้ภายในบ้านเท่านั้น แต่ยังมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาบริการหลังการขายให้มีความสะดวกสบายต่อผู้อยู่อาศัย และยังคำนึงถึงการลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาวของนิติบุคคลฯ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้คนในปัจจุบันมากขึ้น
ทั้งในรูปแบบของการบริหารจัดการความปลอดภัย การบริหารจัดการระบบวิศวกรรมอาคาร เช่น
การมีศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลาง (Smart Command Centre) ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมมือกับแสนสิริ ที่มีการลงทุนนำ IoT และเทคโนโลยีในโครงการที่พักอาศัยเชื่อมเข้ากับระบบที่ควบคุมและสั่งการจากส่วนกลาง เพื่อดูแลบริหารจัดการความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนกลางและควบคุมระบบวิศวกรรมอาคารแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง มีระบบรั้วอัจฉริยะที่แจ้งเตือนทุกกรณีมีการลุกล้ำแนวรั้ว ดูแลความปลอดภัยและสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ประจำโครงการให้เข้าตรวจสอบได้ทันที หรือ
ระบบวิศวกรรมอาคารในส่วนของงาน (preventive maintenance) ที่จะคอยตรวจสอบก่อนเกิดปัญหา และรายงานสมรรถนะของระบบเครื่องจักรและควบคุมแจ้งเตือนเมื่อถึงรอบระยะการบำรุงรักษา เป็นต้น
เรื่องความปลอดภัยก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญและควรคำนึงถึงในการลงทุนนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ซึ่งเริ่มจากในส่วนของอุปกรณ์อัจริยะภายในบ้าน เทคโนโลยีจะเข้ามาดูแลทุกคนในบ้านโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยเพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน
ซึ่งการที่เรากำลังเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เทคโนโลยีของ Smart Home จึงถูกออกแบบให้เป็นบ้านอัจฉริยะ จึงมีโครงสร้างภายในบ้านที่เหมาะกับผู้สูงอายุ อาทิเช่น ประตูบานเลื่อนที่เหมาะกับการเลื่อนเข้าออกของวีลแชร์ และมีเซนเซอร์รอบบ้านเพื่อจับสัญญาณการหกล้มของคนในบ้าน แล้วสัญญาณดังกล่าวก็จะส่งไปยังผู้ดูแล ซึ่งอาจจะเป็นคนในบ้าน หรือหากเป็นโครงการที่ทำขึ้นมาเพื่อดูแลผู้สูงวัยโดยเฉพาะก็จะส่งสัญญาณไปยังผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีระบบของการแจ้งเตือนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นเพลิงไหม้ หรือเกิดการงัดแงะบ้าน ระบบก็จะแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลให้มาระงับเหตุก่อนที่จะลุกลาม เป็นต้น นอกจากนี้ ก็ยังมีส่วนของอุปกรณ์รอบนอกบ้านเรื่องความปลอดภัยในตัวโครงการนั้น ก็มีทั้งระบบสแกนใบหน้าสำหรับผู้มาติดต่อ เป็นต้น
นอกจากนี้ สำหรับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับให้บริการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า เพื่อเป็นตัวกลางในการแจ้งข้อมูล เช่น
พัสดุ ประกาศ หรือกฎระเบียบของโครงการ และยังสามารถแจ้งเตือนการชำระค่าสาธารณูปโภค ค่าส่วนกลาง ใช้เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่นิติบุคคลฯ รวมถึงลูกบ้านหรือผู้เช่ายังสามารถแจ้งซ่อมผ่านแอปพลิเคชั่นได้อย่างสะดวก นอกจากนี้การใช้แอปพลิเคชั่นยังสามารถให้บริการ 2 ภาษา จึงเข้าถึงลูกบ้านที่เป็นชาวต่างชาติได้สะดวกมากขึ้น
อย่างไรก็ตามธุรกิจให้บริการด้านบริหารโครงการที่อยู่อาศัยในยุคปัจจุบันจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องปรับตัวให้ก้าวทันกับ Smart Home ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของทุกคนในอนาคต
การฝึกอบรมให้ความรู้บุคลากรให้มีความรู้เข้ากับยุคสมัยและเข้ากับเทคโนโลยี หรือการหาพันธมิตรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกองค์กรมาถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคลากรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ให้บริการจะมองข้ามไม่ได้ครับ
บทความประจำคอลัมน์พิเศษ Property Key โดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ให้คำปรึกษาฝากขายปล่อยเช่า และการซื้อขายคอนโดมือสอง ครบทุกขั้นตอน บริหารโครงการที่พักอาศัย/โครงการเพื่อการพาณิชย์ บริหารงานขายและการตลาดโครงการ ด้วยทีมงานระดับคุณภาพ กับประสบการณ์ที่มากกว่า 20 ปี เติมเต็มทุกความต้องการอย่างแท้จริง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่ เพื่อศึกษาข้อมูลการบริการของเราเพิ่มเติมครับ