โค้งสุดท้ายการลงทุนอสังหาฯ ยังคงไปต่อได้ด้วยยังมีปัจจัยบวกเป็นแรงเสริม
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโค้งสุดท้ายของปี 2565 นี้ แนวโน้มของตลาดภาคอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่าจะกลับมาฟื้นตัวด้วยหลายๆ ปัจจัยที่เป็นบวกอยู่
จากข้อมูลศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ในปีนี้ จะพบว่ามีสัดส่วนในตลาดที่เสนอขายอยู่ แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 119,483 หน่วย และโครงการอาคารชุด จำนวน 80,466 หน่วย จะเห็นว่าความต้องของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในแนบราบเพิ่มขึ้น โดยทำเลบ้านจัดสรรที่มียอดขายสูงสุด 5 อันดับแรก
- โซนบางพลี-บางบ่อบางเสาธง
- โซนลำลูกกาคลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ
- โซนบางใหญ่-บางบัวทองบางกรวย-ไทรน้อย
- โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง- พระสมุทรเจดีย์
- หลักสี่ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน
รวมถึงได้อานิสงค์จากรัฐฯในเรื่องการผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ช่วยลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง ซึ่งส่งผลและเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้บริโภคที่สนใจมองหาโครงการบ้านแนวราบทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดมีแนวโน้มดีขึ้น
สำหรับตลาดอสังหาฯในต่างจังหวัดก็มีผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายรายให้ความสนใจไปเปิดโครงการใหม่ๆที่น่าสนใจใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง และสงขลา ที่เรียกว่าเป็นเมืองสำคัญของการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี พลัสฯในฐานะผู้รับบริหารการขายโครงการ แนะนำถึงผู้บริโภคว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่เพียงแต่จะพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ ความต้องการที่อยู่แล้ว ทำเล ราคา ก็เป็นอีกรายละเอียด รวมไปถึงตัวเจ้าของโครงการมีความน่าเชื่อถือก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน
พลัสฯ มองภาพตลาดอสังหาฯในภูเก็ตเห็นการส่งสัญญาณที่ดี ด้วยยังมี Demand-Supply อยู่ โดยแบ่งเป็นกลุ่มตลาดคนไทย และตลาดชาวต่างชาติ ในส่วนของตลาดคนไทยนั้นยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่ แต่เป็นระดับราคาไม่สูงมาก หรือกลุ่มตลาดคนทำงาน ที่ราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด
สำหรับชาวต่างชาติมักจะเป็นนักธุรกิจ หรือเข้ามาทำงานแบบครอบครัว เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป มองหาบ้านที่มีความเป็นส่วนตัว แบบวิลล่าในระดับลักชัวรี โดยเฉพาะในพื้นที่โซนเชิงทะเล ที่เป็นทำเลของเศรษฐกิจและน่าอยู่อาศัย มีความสมบูรณ์โดยรอบ
ภาพรวมการลงทุนในตลาดอสังหาฯ ก็ยังคงมีความน่าสนใจ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตคาดการณ์ว่าตลาดในส่วนของชาวต่างชาติ กลุ่มลักชัวรีน่ามีแนวโตที่จะเติบโตสูงจากปี 2564 ไม่ต่ำกว่า 50% และมูลค่าการซื้อขายไม่น่าจะต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และในปีหน้าคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท นับว่าเป็นโอกาสทองในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอีกช่องทางหนึ่ง
นอกจากปัจจัยบวกแล้ว ก็ต้องไม่มองข้ามในด้านปัจจัยเสี่ยงกันด้วย ที่อาจจะต้องระมัดระวังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินต่างๆ สภาวะการจ้างงานถดถอย และการมีรายได้ของประชาชนในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการที่ยังคงเพิ่งเริ่มฟื้นตัว ซึ่งประเทศไทยเองนั้นเรียกได้ว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจากการท่องเที่ยว โดยรัฐก็มีการสนับสนุนกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกลงทะเบียนผ่านระบบไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งส่งผลบวกมากขึ้นพบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ออกมาท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีอัตราการท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนมกราคมถึง กรกฎาคม ปี 65 ที่ผ่านมามากว่าปี 64 ในช่วงการระบาดของโควิดถึง 213% คิดเป็นอัตราการท่องเที่ยวกว่า 117 ล้านคน
และคาดการณ์ว่าจากนโยบายการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านเป็นอีกหนึ่งความหวังในการฟื้นฟูการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
จากข้อมูลศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี คาดการณ์ว่า การเปิดประเทศจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 69% เมื่อเทียบกับช่วงปี 64 โดยจะสร้างรายได้รวมปีนี้ไม่ต่ำกว่า 717 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ
โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่ส่งสัญญาณบวกไปถึงตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทย ด้วยปัจจัยการกลับมาของนักท่องเที่ยวทำให้เกิดรายได้ สร้างเม็ดเงินภายในประเทศแบบองค์รวม และยังส่งผลเห็นถึงโอกาสว่าไตรมาสสุดท้ายนี้ความต้องการในด้านที่อยู่อาศัยในตลาดอสังหาฯน่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง