ครม.ไฟเขียวเว้นภาษีโอนกองทุนสำรองฯไป RMF

07 ต.ค. 2016 บทความอื่นๆ


นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวง เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีการโอนเงินหรือขายหน่วยลงทุนคืนให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) โดยกำหนดว่า เงินหรือผลประโยชน์ใดๆที่ผู้มีเงินได้ได้รับจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยหน่วยลงทุนดังกล่าวได้จากการโอนหรือเกี่ยวเนื่องจากการโอนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรม เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้ขายหน่วยลงทุนนั้นเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์และมีระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเชี้ยงชีพรวมกับระยะเวลาการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมฯแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

สำหรับการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุอย่างต่อเนื่องผ่านระบบกองทุน รวมทั้งช่วยเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ออมให้สามารถได้รับผลตอบแทนจากการออมเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและรองรับสังคมผู้สูงอายุและช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยจะไม่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เปิดเผยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งระบบ สิ้นสุดไตรมาส 2 ปี 2559 อยู่ที่ 9.37แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%จากสิ้นไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้น 6% จากสิ้นปี 2558

เอ็นเอวี เฉพาะส่วนที่โอนจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปกองทุน RMF มีมูลค่า 300 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นไตรมาสแรก 203 ล้านบาท ปัจจุบันมีนายจ้างที่จัดให้มีนโยบายการลงทุนแบบสมดุลตามอายุ(life path) จำนวน 41 ราย สมาชิก 8,150 คน มูลค่ารวม 1,116 ล้านบาท จัดการผ่าน 1 บลจ. (บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล) สำหรับริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหรือบลจ. จำนวน 5 รายแรก ที่มีทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการรวมกันประมาณ 68% โดย บลจ. เอ็มเอฟซี มีส่วนแบ่งการตลาด เมื่อวัดจากเอ็นเอวี สูงสุดที่ 17% ของเอ็นเอวีทั้งหมด ขณะที่บลจ. ทิสโก้ มีส่วนแบ่งการตลาดจำนวนนายจ้าง สูงสุดที่ 25% ของจำนวนนายจ้างทั้งหมด ด้านจำนวนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีทั้งสิ้น 407 กองทุน ลดลง 1 กองทุน จากสิ้นไตรมาสแรก (เป็นการตั้งกองใหม่ 1กองทุน และเป็นการยุบเพื่อไปรวมกับกองทุนอื่นอีก 2 กองทุน)

สัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้น ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 มีมูลค่าประมาณ 1.43 แสนล้านบาท คิดเป็น 15.2% ของเอ็นเอวี ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนในเงินฝากลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสแรก จำนวนนายจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 16,038 ราย (คิดเป็น 2.5% ของนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการ) เพิ่มขึ้น 233 ราย จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นนายจ้างที่จัดให้มี employee’s choice หรือสมาชิกที่เลือกแผนลงทุนเอง 6,660 ราย คิดเป็น 42% ของจำนวนนายจ้างทั้งหมด (+.3.4% จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว) ขณะที่มีจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.81 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9,743 คน เพิ่มขึ้น 0.3% จากสิ้นไตรแรก คิดเป็น 16% ของแรงงานในระบบ

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ
อ่านข่าวเกี่ยวกับอสังหาฯ ทั้งหมดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.plus.co.th/ข่าว-และ-บทความ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เรื่องเด่นน่าสนใจ

เรื่องราวยอดนิยม